วิธีเตรียมตัวสอบ TOEFL ด้วยตัวเอง ไม่ยากอย่างที่คิด!

ก่อนจะไปดูวิธีการเตรียมตัวสอบ TOEFL ด้วยตัวเอง เรามาทำความรู้จักกับเจ้าตัวข้อสอบนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ TOEFL หรือ Test of English as a Foreign Language คือข้อสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษที่ได้รับมาตรฐานและความนิยม เป็นข้อสอบสำหรับคนที่ต้องการเรียนต่อต่างประเทศ เรียนต่อป.ตรี-เอก รวมถึงสอบเข้าเรียนต่อในหลักสูตรนานาชาติในประเทศไทย

ควรสอบ TOEFL ให้ได้กี่คะแนน?

ต้องบอกก่อนว่าข้อสอบ TOEFL ที่นิยมสอบในไทยปัจจุบันมี 2 แบบ คือ 1. TOEFL iBT (Internet-based Test) และ 2. TOEFL ITP (Institutional Testing Program) ลองดูตารางคะแนนคร่าวๆ ประกอบกับจุดประสงค์การสอบของเรา เมื่อมีเป้าหมาย เราจะเตรียมตัวสอบได้ถูกวิธี และได้คะแนนตามเป้าที่เราต้องการ โดยไม่เสียเวลาเปล่าค่ะ

เลือกสอบ TOEFL ให้ถูกการใช้งาน


ก่อนมาเข้าเนื้อหาเรื่องของการเตรียมตัวสอบ TOEFL ด้วยตัวเอง เรามาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง TOEFL ITP และ TOEFL iBT  กันก่อน ข้อสอบ TOEFL (Test of English as a Foreign Language) คือข้อสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนต่างชาติ หรือผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ตัวข้อสอบแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน คือ TOEFL iBT (Internet-based Test) และ TOEFL ITP (Institutional Testing Program) โดยทั้ง 2 รูปแบบนี้นั้น เหมาะกับคนแตกต่างกันดังนี้

  • TOEFL ITP (Institutional Testing Program) ผลคะแนนมีอายุ 2 ปีนับจากวันสอบ
    • สอบแบบ Paper-based (บนกระดาษ) และ Online
    • ขอบเขตของการสอบ: Listening, Grammar และ Reading
    • คะแนนเต็ม: 677 คะแนน
    • ค่าสอบ: 1,600 – 1,800 บาท
    • สามารถนำคะแนนไปยื่นกับสถาบันอุดมศึกษา และมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
  • TOEFL iBT (Internet-based Test) ผลคะแนนมีอายุ 2 ปีนับจากวันสอบ
    • สอบแบบ Internet-based (บนคอมพิวเตอร์)
    • ขอบเขตของการสอบ: Reading, Listening, Speaking และ Writing
    • คะแนนเต็ม: 120 คะแนน
    • ค่าสอบ: 215$ (*ประมาณ 7,500 บาท)
    • สามารถยื่นเข้าสถาบันต่าง ๆ ได้ทั่วโลก

สรุปความแตกต่าง TOEFL iBT กับ TOEFL ITP

การเตรียมตัวสอบ TOEFL iBT ด้วยตัวเอง

  • เรื่องอ่านเชิงวิชาการ 3-4 Passages ทั้งหมด 30-40 ข้อ
  • ความยาวเรื่องละประมาณ 700 คำ มี 10 คำถาม/เรื่อง
  • ประเภทของคำถามเช่น Factual/Negative Factual Information, Inference + Rhetorical, Vocabulary, Sentence Simplification, Insert Text
  • ใช้เวลาทำข้อสอบ 54-72 นาที

ข้อควรระวัง

  • ต้องรู้คำถามว่าจะถามอะไร และจับ Keyword และ Topic ของเรื่องให้ได้
  • รู้ศัพท์ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ แนะนำให้จำพวกรากศัพท์ (Root Word), Prefix, Suffix จะช่วยได้มาก
  • ฝึกอ่านภาษาอังกฤษอยู่เสมอ
  • ลองทำโจทย์แล้วจับเวลา
  • ถามความเข้าใจของเนื้อเรื่องและ attitude ของผู้พูดจากเรื่องที่ฟัง
  • ภาษาที่ใช้เป็นบริบทในรั้วมหาวิทยาลัย (Campus-based)
  • มีทั้งหมด 28-39 ข้อ
  • ฟัง 3-4 Lectures (บางเรื่องมี discussion) ความยาวประมาณ 3-5 นาที มี 6 คำถาม/เรื่อง
  • ฟัง 2-3 Conversations ความยาวประมาณ 3 นาที มี 5 คำถาม/เรื่อง
  • ใช้เวลาทำข้อสอบ 41-57 นาที

ข้อควรระวัง

  • ฟังไฟล์เสียงให้จบก่อนที่จะเจอกับคำถาม (*ระหว่างฟังจดโน๊ตได้)
  • รู้ว่าโจทย์จำถามอะไรบ้าง
  • รู้คำศัพท์เยอะจะช่วยได้มาก แต่ควรโฟกัสเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย
  • จดโน๊ตให้เป็นระบบ เอาแต่เนื้อหาที่สำคัญ ฝึกฟัง + จับประเด็นให้ได้
  • พาร์ตนี้ต้องมีสติมาก ระวังจะฟัง/จดโน๊ตไม่ทัน
  • มีทั้งหมด 4 ข้อ
  • 1. Independent Task (Familiar Topic) โจทย์ให้เลือกว่าเรา prefer อันไหน พูดตอบตามความเห็นของเรา
  • 2. Integrated Task (Campus-life Situation) อ่านประกาศ + ฟังบทสนทนา + พูดตอบ
  • 3. Integrated Task (Academic course Content) อ่าน Passage สั้นๆ + ฟัง Lecture + พูดตอบ
  • 4. Integrated Task (Academic Course Content) ฟัง Lecture + พูดตอบ
  • ใช้เวลาทำข้อสอบ 17 นาที

การทำคะแนนในพาร์ตนี้ต้องโฟกัสเรื่องการออกเสียง (Pronounciation) ที่ชัดเจน การใช้แกรมมาร์และคำศัพท์ (Language Usage) ที่ถูกต้อง และการลำดับเรื่องราวของคำตอบให้มีเหตุผล (Organization)

ข้อควรระวัง

  • เมื่อฟังไฟล์คำถามจบ เราจะมีเวลาเตรียม 15-30 วินาที และมีเวลาตอบคำถามแค่ 30-60 วินาทีเท่านั้น
  • ไม่จำเป็นต้องใช้คำศัพท์และไวยากรณ์ที่ยาก หรือซับซ้อนเกินไป ถ้าเลือกคำที่ยากเกินไป และเราไม่ได้เข้าใจจริงๆ จะทำให้คำตอบของเราเข้าใจยาก พลาดโอกาสได้คะแนน!
  • ฝึกตอบคำถามให้ครบถ้วนภายในเวลาที่จำกัด ลองฝึกอัดเสียงคำตอบตัวเอง
  • มีทั้งหมด 2 ข้อ
  • 1. Integrated Task (20 นาที) อ่าน Passage + ฟังบรรยาย แล้วพิมพ์ตอบ (125-225 คำ)
  • 2. Independent Task (30 นาที) จะมี Topic กำหนดมาให้ ให้เราตอบตามความเห็น/ประสบการณ์ของเราได้เลย (ขั้นต่ำ 300 คำ)
  • ใช้เวลาทำข้อสอบ 50 นาที

ข้อควรระวัง

  • ในพาร์ต Integrated ให้โฟกัสให้ดี เพราะเรื่องฟังจะเป็นการโต้แย้งเรื่องที่อ่าน
  • ฝึกจดโน๊ตให้สั้น และได้ใจความที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเราจะได้ฟังไฟล์เสียงแค่ครั้งเดียว
  • ใช้ Transitional Words/Phrases จะช่วยให้ Essay เรามีระเบียบ และร้อยเรียงไอเดียได้ดี
  • 1-2 นาทีแรกพยายามสร้าง outline ในกระดาษทด
  • ในพาร์ต Independent ถ้ามีตัวเลือกให้เราเลือก ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย
  • สรุปจบให้ชัดเจนและตรงประเด็น
  • ตรวจทาน Essay อีกรอบก่อนกดส่งคำตอบ (ในโปรแกรมจะไม่มี spellcheck ให้)

การเตรียมตัวสอบ TOEFL ITP ด้วยตัวเอง

มาดูกันว่าสัดส่วนข้อสอบ TOEFL ITP มีอะไรบ้าง ข้อสอบแบ่งออกเป็น 3 พาร์ต หลักๆ จะทดสอบ 3 ทักษะด้วยกัน ใช้เวลาทำข้อสอบประมาณ 2 ชั่วโมง คะแนนเต็ม 677 คะแนน

  1. การฟัง (Listening Comprehension) 50 ข้อ (35 นาที)
  2. โครงสร้างภาษา (Structure and Written Expression) 40 ข้อ (25 นาที)
  3. การอ่าน (Reading Comprehension) 50 ข้อ (55 นาที)

1. ฝึกทำข้อสอบเก่าให้ได้มากที่สุด

อันดับแรกให้เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อสอบ TOEFL ITP ข้อสอบเก่า ๆ และหาห้องที่เงียบสงบ บรรยากาศส่งเสริมให้เรามีสมาธิ และเริ่มต้นลงมือทำไปได้เลย โดยที่ยังไม่ต้องจับเวลา เพื่อเป็นการชิมลางข้อสอบ เพราะการได้ลองทำข้อสอบเก่า ๆ จะเป็นการฝึกฝน และช่วยให้เราทำความเข้าใจกับโจทย์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งได้ทำข้อสอบเก่า ๆ มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เราสามารถจับทิศทางตัวข้อสอบได้ดียิ่งขึ้น ได้เรียนรู้ Pattern ของโจทย์ และตัวข้อสอบ แถมยังเป็นการทบทวนตัวเองว่าเรามีจุดอ่อนตรงส่วนไหนที่ต้องทำการฝึกฝนมากขึ้นได้เป็นอย่างดี

2. สะสมคำศัพท์

คำศัพท์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในหลากหลายทักษะ และทำให้การข้อสอบ TOEFL มีประสิทธิภาพ มีโอกาสได้คะแนนที่สูงขึ้น โดยคำศัพท์ที่ต้องรู้ก่อนไปสอบ TOEFL คือAcademic Vocabulary หรือคำศัพท์เชิงวิชาการ เทคนิคการสะสมคำศัพท์คือให้ลิสต์คำศัพท์ที่จะพบเจอได้บ่อย ๆ ในข้อสอบ เพราะการทำข้อสอบ TOEFL ITP ในพาร์ต Reading Comprehension เราจะต้องอ่านบทความเชิงวิชาการ ที่มาจากหลากหลายแขนง ฉะนั้นการมีคลังคำศัพท์สะสมไว้จะช่วยในส่วนนี้ได้มาก เมื่อเราลิสต์คำศัพท์ได้จำนวนหนึ่งให้ลองนำไปใส่ที่เว็บไซต์ vocabulary.com ที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้ Word Families เพิ่มเติม ขยายฐานคำศัพท์ของเราให้มากขึ้นไปอีก

3. ทำความเข้าใจไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสำหรับการเตรียมตัวสอบ TOEFL ITP จะไปหนักอยู่ในพาร์ตของ Structure & Written Expression ซึ่งภายใน Section นี้จะแบ่งเป็น 2 พาร์ตด้วยกันคือ

1) Structure: ที่เราต้องไปทบทวนเรื่องของ Part of Speech, Subject-Verb Agreement, Present and Past Participles, Relative Clause, คำเชื่อม และ Tense ต่าง ๆ

2) Written Expression: ที่เราจะต้องทำการหา Errors ในส่วนของการทำโจทย์รูปแบบ Error Identification แนะนำให้ทำแบบฝึกหัด ฝึกฝนให้ได้มากที่สุด จนเกิดความชำนาญและเกิดความเข้าใจ ซึ่งเราต้องบอกเลยว่าการทบทวนกฏไวยากรณ์ภาษาอังกฤษตรงส่วนนี้ไม่ใช่แค่เกิดผลดีกับการสอบ TOEFL แต่ยังส่งผลต่อสกิลการใช้ภาษาอังกฤษของเราในชีวิตด้วย

4. ฝึกสกิลการฟัง

ในการเตรียมตัวสอบ TOEFL ITP พาร์ตแรกที่เราต้องเจอคือ Listening Comprehension จำนวน 50 ข้อ ที่จะแบ่งเป็นตั้งแต่ Short Conversations, Long Conversations และการฟัง Lectures ซึ่งพาร์ตการฟังถือว่ายากพอสมควรสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน แต่อย่าพึ่งท้อไป เราสามารถอัพสกิลการฟังได้ โดยอาจจะเริ่มดูละคร หนัง ซี่รี่ย์ ที่มี Subtitle ภาษาอังกฤษ เพราะเราสามารถเห็นคำศัพท์ และได้ยินการออกเสียงที่ถูกต้อง รับรองว่าหากคุณขยันทำทุกวัน สกิลการฟังต้องเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจอย่างแน่นอน

และทั้งหมดนี้คือคำแนะนำสำหรับการเตรียมตัวสอบ TOEFL จากสถาบัน XChange English ที่เราต้องบอกเลยว่าคำแนะนำเหล่านี้ หากคุณนำไปใช้พร้อมกับมีความพยายาม ความมุ่งมั่น และความสม่ำเสมอในการฝึกฝนจะต้องสามารถคว้าคะแนนดี ๆ มาเป็นรางวัลอย่างแน่นอน อย่าให้ข้อจำกัดของความกลัวที่ว่า TOEFL ยากไปไหมมาหยุดให้เราไม่กล้าลงมือทำ และหากคุณไม่มั่นใจพื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวเอง หรือผู้ที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว มาให้ทางสถาบัน XChange English ได้ช่วยปรับพื้นฐานก่อนเริ่มต้นฝึกฝน และได้แชร์เทคนิคการทำข้อสอบ ตะลุยโจทย์แต่ละพาร์ตแบบเข้มข้นกับติวเตอร์ที่พร้อมแชร์เคล็ดลับต่าง ๆ มากมายให้การสอบครั้งนี้ของคุณมีประสิทธิภาพมากที่สุด พร้อมกับได้อัพเดทข้อมูลข่าวสารในการยื่นคะแนนของแต่ละสถาบันได้อย่างทันท่วงที

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้เลยที่ Line@ : @XChange

TOEFL ยากไหม? เตรียมตัวสอบ TOEFL ไม่ยากอย่างที่คิด! - XChange English

FAQ – เตรียมตัวสอบ TOEFL

ติว TOEFL กับ XChange English ดีกว่าสถาบันอื่นอย่างไร?

XChange English มีทีมติวเตอร์ผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการอบรมจาก ETS (องค์กรที่ออกข้อสอบ TOEFL) ที่คิดค้นหลักสูตรเข้มข้น ทันสมัย และเทคนิคมากมายที่ช่วยแก้ปัญหาการสอบของคนไทยโดยเฉพาะ ไม่เก่งภาษา ก็กล้า การันตีผลลัพธ์

อยากสอบ TOEFL แต่ไม่มีพื้นฐานควรเลือกคอร์สไหนดี?

ขอแนะนำเป็นแพ็กเกจ TOEFL BEGINS ที่เหมาะสำหรับผู้เรียน-บุคคลธรรมดา ที่สนใจสอบ TOEFL แต่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน โดยจะเป็นการเตรียมพร้อมสอบในระดับพื้นฐาน ครบจบทุกทักษะ

CONTACT US!