คะแนน TOEIC ใช้ยื่นอะไรได้บ้าง ทำไมใครๆ ต่างก็อยากไปสอบ และอยากให้คะแนนออกมาดี นั่นก็เพราะว่าคะแนน TOEIC เป็นมากกว่าการวัดระดับภาษา โดยสามารถใช้คะแนนสอบไปยื่นเข้าเรียน เข้าทำงาน หรือเพื่อเพิ่มเงินเดือนได้ด้วยเช่นกัน มาดูกันว่าคะแนน TOEIC สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง ควรได้คะแนนเท่าไรถึงจะดี แล้วต้องทำอย่างไรให้ผลสอบออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ มาศึกษาผ่านบทความนี้ไปพร้อมๆ กันได้เลย!
มารู้จัก TOEIC คืออะไร?
ก่อนจะไปดูว่า คะแนน TOEIC ใช้ยื่นอะไรได้บ้าง มาทำความรู้จักกันก่อนว่าแท้จริงแล้ว TOEIC คืออะไร?
TOEIC หรือ Test of English for International Communication คือการสอบวัดความรู้ทักษะทางด้านภาษาอังกฤษสำหรับประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ TOEIC จัดตั้งขึ้นโดยสถาบัน Educational Testing Service (ETS) ซึ่งเป็นการสอบที่ได้รับความนิยม และมีมาตรฐานสากลในระดับนานาชาติ จึงทำให้หลายองค์กร อาทิ บริษัท หน่วยงานรัฐ และสถานศึกษา ต่างเลือกใช้เกณฑ์ทักษะภาษาจากการสอบวัดระดับของ TOEIC เพื่อเป็นมาตรฐานในการคัดเลือกบุคลากร
สอบ TOEIC เพื่ออะไร?
ทำไมต้องสอบ TOEIC คะแนนสอบ TOEIC ใช้ทำอะไรได้บ้าง หรือสอบไปเพื่ออะไร ไปดูกัน!
- เพื่อวัดมาตรฐานทักษะ และความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
- เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถ และทักษะของผู้สอบ ต่อองค์กร นายจ้าง และสถาบันต่างๆ
- เพื่อทำให้ได้รับโอกาสในการเข้าทำงานมากกว่าคนอื่นๆ
- เพื่อเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้ และการดำเนินธุรกิจ
คะแนน TOEIC ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
หลายๆ คนอาจจะพอทราบอยู่บ้างแล้วว่าการสอบ TOEIC นั้น สอบเพื่อเพิ่มโอกาสในหลากหลายด้าน อาทิ การเรียน การทำงาน หรือเพิ่มฐานเงินเดือน มาดูกันว่าคะแนน TOEIC ใช้ยื่นอะไรได้บ้าง ดังนี้
1. ยื่น TOEIC เข้ามหาวิทยาลัย
ในปัจจุบันหลายๆ มหาวิทยาลัยเริ่มให้มีการยื่นคะแนนสอบ TOEIC เพื่อใช้ในเข้าเรียนในหลักสูตรต่างๆ โดยแต่ละคณะ และมหาวิทยาลัยก็จะมีเงื่อนไขของคะแนนที่แตกต่างกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คะแนน 560+ สำหรับคณะศิลปศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) และคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ วิชาเอกภาษาอังกฤษ
- สถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง คะแนน 510+ สำหรับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์
- มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง คะแนน 420+ สำหรับคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
- สถาบันการบินพลเรือน คะแนน 400+
2. ยื่น TOEIC ขอฝึกงาน
การยื่นขอฝึกงานกับองค์กร และบริษัทหลายๆ บริษัท โดยเฉพาะบริษัท หรือองค์กรชั้นนำ มักจะขอผลคะแนนสอบ TOEIC เพื่อประกอบการพิจารณาเพื่อรับการเข้าฝึกงาน เนื่องจากหลายๆ องค์กรมองว่า ทักษะภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่สำคัญที่จะช่วยต่อยอดการทำงานในอนาคตได้ อีกทั้งคะแนนสอบ TOEIC ยังดีต่อตัวผู้เข้าสอบเช่นกัน เนื่องจากจะช่วยทำให้เพิ่มโอกาสในการเลือกงานได้มากยิ่งขึ้น โดยคะแนนขั้นต่ำจะอยู่ที่ประมาณ 500+ คะแนน เป็นต้น
3. ยื่น TOEIC เข้าทำงาน
การสมัครงานในองค์กร และบริษัทต่างๆ นั้น การมีคะแนนสอบ TOEIC ติดตัวเอาไว้ก็เป็นเรื่องจำเป็น เนื่องด้วยองค์กรหลายแห่งเริ่มมีการใช้คะแนนTOEIC เป็นเงื่อนไขในการรับเข้าทำงานด้วยเช่นกัน และในแต่ละสายงานอาจต้องการคะแนนสอบที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าคะแนน TOEIC สามารถใช้ยื่นอะไรได้บ้าง แต่ละตำแหน่งงานต้องการคะแนนสอบเท่าไรบ้าง
- ตำแหน่ง Quality Coordinator คะแนน 700+
- ตำแหน่ง Export Sale คะแนน 700+
- ตำแหน่ง Lawyer คะแนน 700+
- ตำแหน่ง Cabin Crew คะแนน 650-700+
- ตำแหน่ง HR Specialist คะแนน 600+
- ตำแหน่ง Customer Service คะแนน 600+
- ตำแหน่ง Financial Analysis คะแนน 600+
- ตำแหน่ง Engineers คะแนน 550+
- ตำแหน่ง Marketing Staff คะแนน 550+
- ตำแหน่ง Sales Executive คะแนน 500+
ในสายงาน และบริษัทต่างๆ ก็อาจมีเงื่อนไขคะแนนขั้นต่ำที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ก่อนสมัครงานควรมีการตรวจสอบเงื่อนไขคะแนนของการสมัครของแต่ละองค์กร และมีการวางแผนการสอบให้ดี เพื่อให้คะแนนสอบออกมาตามแผนที่วางแผนไว้ได้
4. ยื่น TOEIC ขอเพิ่มเงินเดือน
คะแนนสอบ TOEIC เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบในการคำนวณเงินเดือนของพนักงานในหลายๆ บริษัท ร่วมกับการคิดตามประสบการณ์การทำงาน อายุการทำงาน ผลงาน หรือระดับการศึกษา โดยระดับของคะแนนสอบ TOEIC ที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้อัตราการเพิ่มเงินเดือนแตกต่างกันออกไป อีกทั้ง แต่ละองค์กรอาจให้อัตราการเพิ่มเงินเดือนแตกต่างกันด้วยเช่นกัน โดยคะแนนจะอยู่ที่ประมาณ 550+ คะแนน และอาจเพิ่มเงินเดือนได้กว่า 2,000 บาท ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละองค์กรด้วยเช่นกัน
TOEIC วัดระดับภาษาด้านไหนบ้าง?
มาดูกันว่าการสอบ TOEIC นั้น ต้องสอบวัดทักษะด้านไหนบ้าง แต่ละพาร์ตมีกี่คะแนน ใช้เวลาทำกี่นาที และผลรวมของคะแนนทั้งหมดคือเท่าไร โดยการสอบ TOEIC นั้นมีรายละเอียดต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. การฟัง และการอ่าน (TOEIC Listening & Reading)
พาร์ตการฟัง (Listening) และการอ่าน (Reading) มีทั้งหมด 200 ข้อ ใช้เวลารวม 2 ชั่วโมง คะแนนรวมทั้งสิ้น 990 คะแนน โดยทั้ง 2 พาร์ต จะใช้เวลาสอบที่ต่างกัน และมีอัตราส่วนคะแนนที่แตกต่างกัน ดังนี้
การฟัง
Listening Comprehension (การฟัง) มีทั้งหมด 100 ข้อ ใช้เวลา 45 นาที คะแนนเต็ม 495 คะแนน โดยแบ่งเป็น 4 ส่วนย่อย ดังนี้
- Photographs โดยให้ดูภาพ และฟังเสียงบรรยาย
- Question – Response ฟังเสียงบรรยาย และตอบคำถามตามตัวเลือกที่ให้
- Short Conversation ฟังเสียงบรรยายของบทสนทนา โดยจะมีเสียงผู้สนทนา 2 – 3 คน
- Short Talks ฟังบรรยายบทพูด (ผู้พูด 1 คน)
การอ่าน
Reading Comprehension (การฟัง) มีทั้งหมด 100 ข้อ ใช้เวลา 75 นาที คะแนนเต็ม 495 คะแนน โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนย่อย ดังนี้
- Incomplete Sentence การเติมคำลงในประโยค
- Text Completion การเติมคำ หรือประโยคลงในเนื้อเรื่อง
- Reading Comprehension การอ่านบทความ จับใจความ และตอบคำถาม
2. การพูด และการเขียน (TOEIC Speaking & Writing)
พาร์ตการพูด (Speaking) และการเขียน (Writing) คะแนนเต็ม 400 คะแนน โดยเป็นพาร์ตที่วัดทักษะการสื่อสาร และการสนทนาภาษาอังกฤษ โดยทั้ง 2 พาร์ต มีรายละเอียดดังนี้
การพูด
พาร์ตการพูด (Speaking) สามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ส่วนย่อย ดังนี้
- Read a text aloud การสอบอ่านออกเสียงบทความ
- Describe a picture การทดสอบการบรรยายภาพเป็นภาษาอังกฤษ
- Respond to questions การตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษ
- Respond to questions by using information provided การตอบคำถามจากข้อมูลที่ให้มา อาทิ กราฟ ตารางงาน ตารางเวลา หรือข้อมูลรายละเอียดอื่นๆ เป็นต้น
- Propose a solution การพูดเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ที่กำหนดให้
- Express an opinion การพูดแสดงความคิดเห็นตามหัวข้อที่กำหนด
การเขียน
พาร์ตการเขียน (Writing) สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนย่อย ดังนี้
- Write a sentence based on a picture การเขียนประโยคบรรยายภาพ
- Respond to a written request การเขียนตอบ E-mail
- Write an opinion การเขียนบรรยายเพื่อแสดงความคิดเห็น
เรื่องที่ควรรู้ก่อนสอบ TOEIC!
หลังจากที่พอจะได้รู้กันมาแล้วบ้างว่า TOEIC ใช้ยื่นอะไรได้บ้าง มีรูปแบบการสอบแบบไหน แต่ละพาร์ตคิดคะแนนเป็นเท่าไร ต่อไปนี้มาดูว่า ควรเตรียมตัวสอบอย่างไร เพราะการสอบ TOEIC ควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ขั้นตอนการสมัครไปจนถึงการสอบเลยทีเดียว ดังนั้น มาดูกันว่าก่อนสอบ TOEIC ควรรู้รายละเอียดอะไรบ้าง
- สอบ TOEIC ที่ไหนได้บ้าง ศูนย์สอบ TOEIC มีด้วยกัน 2 ที่ คือศูนย์สอบกรุงเทพฯ อาคาร BB Building (Bangkok Business Building) และศูนย์สอบเชียงใหม่ อาคารนวรัตน์
- สอบ TOEIC ตอนไหนได้บ้าง การสอบ TOEIC สามารถสอบได้ในวันจันทร์ – เสาร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งมีการสอบ 2 รอบต่อวัน คือตั้งแต่ช่วงเวลา 9.00 – 12.00 น. และ 13.00 – 16.00 น.
- ค่าใช้จ่ายในการสอบ TOEIC กี่บาท ค่าสมัครสอบอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาท
- คะแนนสอบ TOEIC อยู่ได้กี่ปี ผลสอบ TOEIC สามารถใช้ประกอบการยื่นเอกสารได้ 2 ปี หลังจากได้รับผลสอบ
สมัครสอบ TOEIC ทำยังไง?
การสมัครสอบ TOEIC สามารถสำรองที่นั่งก่อนการสอบได้อย่างน้อย 1 วัน ก่อนสอบ หรือสามารถ Walk-in เพื่อทำการสมัครได้เช่นกัน ติดต่อได้ที่เบอร์ 02-260-7061 หรือ 02-259-3990 สำหรับศูนย์สอบกรุงเทพฯ และติดต่อได้ที่เบอร์ 053-241-273 , 053-241-274 หรือ 053-241-275 สำหรับศูนย์สอบเชียงใหม่
ระดับคะแนน TOEIC เท่าไรถึงจะดี?
หลังจากได้รู้กันไปแล้วว่าจะนำคะแนน TOEIC ไปใช้ยื่นอะไร มาดูกันว่าผลคะแนนสอบวัดระดับของ TOEIC นั้นมีกี่ระดับ แต่ละระดับสามารถบ่งบอกระดับความสามารถทางด้านทักษะภาษาอังกฤษของผู้เข้าสอบอย่างไรบ้าง ดังนี้
- คะแนน 905 – 990 : Professional Proficiency คือสามารถสื่อสารได้อย่างดีเยี่ยม และมีประสิทธิภาพในการสื่อสารสูงสำหรับทุกสถานการณ์
- คะแนน 785 – 900 : Advanced Working Proficiency คือสามารถสื่อสารได้อย่างดีเยี่ยม และมีประสิทธิภาพ หากแต่อาจจะไม่ครอบคลุมในทุกสถานการณ์
- คะแนน 605 – 780 : Basic Working Proficiency คือสามารถใช้ทักษะภาษาอังกฤษในการสื่อสารทั่วไปได้ในระดับดีเยี่ยม แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านการสื่อสารเพื่อการทำงานอยู่บ้าง
- คะแนน 405 – 600 : Intermediate คือสามารถเริ่มต้นบทสนทนา และสามารถสื่อสารในเรื่องทั่วไปได้
- คะแนน 255 – 400 : Elementary คือสามารถสื่อสารพูดคุยแบบต่อหน้าได้ แต่ต้องเป็นการสื่อสารที่ไม่ซับซ้อน และอาจมีข้อจำกัดในการสื่อสาร
- คะแนน 10 – 250 : Novice คือสามารถสื่อสารได้ค่อนข้างจำกัด พอเข้าใจบทสนทนาอยู่บ้าง
เคล็ดไม่ลับ! เตรียมตัวสอบ TOEIC ยังไงให้ได้คะแนนสูง
ไม่ว่าจะนำคะแนน TOEIC ไปใช้ทำอะไรบ้าง ก็ควรจะต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ลักษณะ และรูปแบบของข้อสอบ หรือการเตรียมตัวทบทวนข้อสอบ และทักษะในด้านต่างๆ ก่อนการสอบ มาดูกันว่ามีเทคนิคไหนบ้างที่จะช่วยทำให้การเตรียมตัวสอบเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. เริ่มจากวัดระดับภาษาของตัวเอง
ก่อนการทบทวน หรือเตรียมตัวในขั้นอื่นๆ ควรทดสอบทักษะของตัวเองที่มีอยู่ก่อน เพื่อที่จะสามารถวางแผนทบทวนข้อสอบได้ถูกจุด และสามารถประเมินได้ว่าจะต้องพัฒนาตัวเองในแต่ละด้านอย่างไรบ้าง เพื่อทำให้ผลคะแนนออกมาเป็นไปตามที่คาดหวังไว้
2. หมั่นท่องศัพท์
การท่องศัพท์เป็นหนึ่งในวิธีการทบทวนที่ง่าย และสามารถทำได้แทบจะทุกที่ทุกเวลา และการมีคลังคำศัพท์ติดตัวไว้เยอะๆ ก็สามารถช่วยให้ทำข้อสอบได้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าในบางพาร์ตอาจจะต้องอาศัยการรู้หลักแกรมม่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การรู้คำศัพท์ก็ช่วยทำให้สามารถอ่าน และตีความคำถามแต่ละข้อได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้ตัดตัวเลือกได้ง่ายขึ้นระหว่างทำข้อสอบ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มคะแนนได้นั่นเอง
3. ฝึกทำข้อสอบเก่า
การฝึกทำข้อสอบเก่าย้อนหลังจะช่วยทำให้ได้เรียนรู้รูปแบบ และลักษณะของข้อสอบได้ เพื่อที่ระหว่างทำข้อสอบจริงจะได้มีความคุ้นเคยกับข้อสอบ อีกทั้ง การฝึกทำข้อสอบเก่าก็จะช่วยในการสอบจริงได้ เนื่องจากแนวข้อสอบ และลักษณะของข้อสอบมักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังช่วยทำให้รู้ข้อผิดพลาดของตัวเองเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข และการฝึกทำข้อสอบแบบสมจริงโดยการจับเวลาก็จะช่วยฝึกรับความกดดัน และการวางแผนได้ดี จึงทำให้สามารถทำข้อสอบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด
4. ทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญในการเตรียมตัวสอบ ไม่ว่าจะเป็นความสม่ำเสมอในการท่องคำศัพท์ ความสม่ำเสมอในการฝึกทำข้อสอบ หรือความสม่ำเสมอในการพัฒนาทักษะภาษาของตัวเอง โดยความสม่ำเสมอเหล่านี้เองที่จะช่วยทำให้ได้เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองไปทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุดก็จะช่วยทำให้ประสบความสำเร็จได้
5. มองหาตัวช่วย
การเตรียมตัวสอบด้วยตัวเองเป็นหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา หากแต่การมีตัวช่วยในการเตรียมตัวสอบ จะยิ่งทำให้การสอบเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น XChange English เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีที่จะช่วยให้สามารถคว้าคะแนนสอบตามที่ตั้งเป้าไว้ได้ เพราะมีคอร์สเรียนให้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงขั้นแอดวานซ์เลยทีเดียว โดยจะมีคอร์สเพื่อเตรียมสอบ TOEIC ดังนี้
- คอร์ส TOEIC ปูพื้นฐาน การันตีคะแนน 450 เริ่มตั้งแต่การปูพื้นฐานภาษาอังกฤษในทุกๆ ทักษะ และมีการฝึกข้อสอบเสมือนสอบจริง
- คอร์ส TOEIC 550+ จัดเต็มทุกสกิล ติวเทคนิคเข้มข้นทั้ง Listening และ Reading มีเนื้อหาจัดเต็มถึง 20 ชั่วโมง
- คอร์ส TOEIC อัพคะแนน 750+ คอร์สรวบรวมเทคนิคดีๆ เทคนิคลัด เพื่อทำให้การทำข้อสอบเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมเนื้อหาเข้มข้น 20 ชั่วโมง
- คอร์ส TOEIC การันตี 900 คะแนน สำหรับคอร์สนี้ มีเนื้อหาติวเข้มถึง 25 ชั่วโมง พร้อมเทคนิคพิเศษมากมาย เพื่อช่วยอัพคะแนนให้ถึง 900
สรุป
คะแนนสอบ TOEIC สามารถใช้ยื่นอะไรได้บ้าง ก็พอจะได้ทำความเข้าใจกันบ้างแล้วผ่านบทความนี้ เพราะว่าการสอบ TOEIC เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้า การสมัครเข้าทำงาน หรือการเพิ่มเงินเดือน ผลคะแนนสอบ TOEIC ต่างก็มีส่วนทั้งนั้น เนื่องจากเป็นข้อสอบวัดทักษะภาษาที่มีมาตรฐาน และได้รับการรับรองจากหลากหลายสถาบัน ดังนั้น จึงควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการเข้าสอบ TOEIC ไม่ว่าจะเป็นการทบทวนข้อสอบ ฝึกท่องจำคำศัพท์ด้วยตัวเอง หรือการมีผู้ช่วยในการเตรียมตัวสอบ ซึ่งวิธีเหล่านี้ต่างก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยสร้างโอกาสในการทำคะแนนให้สูงมากยิ่งขึ้นได้ด้วย